ประวัตินักการเมือง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

Thanathon

ก่อนที่จะมาเป็นนักการเมืองหนุ่มขวัญใจชาวไทย หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่อย่างทุกวันนี้ รู้ไหมว่าเขาเป็นใครมาก่อนในอดีต เรียนจบอะไรมา ประกอบอาชีพอะไร แล้วทำไมเขาถึงได้รับการยอมรับจากประชาชน มากกว่าใครบางคนเสียอีก วันนี้เราจะเจาะลึกประวัติของเขาคนนี้กัน “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หรือชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า “เอก” เป็นบุตรชายคนที่ 2 จากบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คน ของ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับ “พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักร

ธนาธรการศึกษาชั้นประถมจากโรงเรียนเซนต์ดอมินิก (Saint Dominic School) ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วน หลังจากนั้นได้เรียนต่อในระดับมัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และไปเรียนต่อในต่างประเทศที่อังกฤษที่มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม ช่วงเวลาที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ก็ได้ใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมของนักศึกษามากมาย ทำให้ได้รับการยอมรับนับหน้าถือตาจากบรรดาเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน และได้ถูกเลือกเป็นอุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อาชีพการงานก่อนมาเป็นนักการเมือง

ก่อนที่ธนาธรจะมาเป็นนักการเมือง หรือรับช่วงต่อกิจการ เขาเคยลงทุนในบริษัทสิ่งพิมพ์ชื่อ “สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน” ซึ่งเป็นวารสารที่จะออกทุก 3 เดือน ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 2 แสนบาท ซึ่งในวารสารมีเนื้อหาเสียดสีการเมืองจนกระทั่งมีช่วงหนึ่งที่ถูกสั่งห้ามพิมพ์ เพราะพาดพิงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งในส่วนนี้ทางธนาธรก็ไม่ได้เข้าไปบริหารหรือให้การสนับสนุน เพราะต้องไปบริหารกิจการของครบครัว หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มสนใจในการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเรียนต่อโทในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง ก่อนที่จะไปเรียนต่อในสาขาการเงินที่นิวยอร์ก สุดท้ายศึกษาต่อในกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศในสวิตเซอร์แลนด์ เท่ากับว่าธนาธรเป็นเจ้าของปริญญาโทถึง 3 ใบ betflixjoker

การก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ได้เดินทางไปขอจดทะเบียนพรรคการเมืองชื่อ “พรรคอนาคตใหม่” ซึ่งมีมติเห็นชอบเป็นส่วนมาก จึงสามารถตั้งพรรคได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะออกมาประกาศจุดยืนของพรรค ว่าต้องการที่จะคืนความเป็นประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศไทย นำพาให้ประเทศชาติกลับสู่ภาวะปกติ ทางพรรคได้การสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ทำให้ชนะการเลือกตั้งจำนวน 30 เขต ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไป มีคะแนนมหาชนเป็นอันดับสาม พลังประชารัฐเคยยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่อนาคตใหม่ต้องเข้าร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งทางธนาธรก็ได้ปฏิเสธไปอย่างไม่ใยดี พร้อมทั้งแสดงจุดยืนของตนเองที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะถูกโจมตีจากอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง